|

One Belt One Road (เส้นทางสายไหม) คืออะไร ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร

one belt one road เส้นทางสายไหม คืออะไร

เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่ในแวดวงเศรษฐกิจโลกได้ยินคำว่า “เส้นทาง สายไหม” หรือ One Belt One Road หรือ Belt and Road Initiative กันอยู่ตลอด แต่เคยสงสัยหรือไม่เกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงคืออะไร แล้วจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างไรบ้าง? ลองมาศึกษาข้อมูลในเรื่องนี้ไปพร้อมกับ ThiaSharp ได้เลย 

One Belt One Road คืออะไร

หากแปลความหมายโดยสรุป เส้นทาง สายไหม หรือ One Belt One Road คือ เส้นทางเชื่อมต่อด้านการค้า สร้างเศรษฐกิจที่ดีระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน ผ่านช่องทางบก (ถนน, รางรถไฟ) และช่องทางทะเล มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากประเทศจีนอันถือเป็นประเทศทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก จุดประสงค์หลักของการสร้างแนวคิดนี้ขึ้นมาของนาย สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของประเทศจีน เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อทุกประเทศที่มีเส้นทางนี้พาดผ่าน 

ทั้งนี้เมื่อมองไปยังด้านตัวเลขก็พบว่าเส้นทาง สายไหม (One Belt One Road) มีประเทศที่สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ถึง 65 ประเทศ แบ่งออกเป็น 6 ภูมิภาค ประกอบไปด้วย เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก (รวมตะวันออกกลาง), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, แอฟริกาเหนือ และยุโรป จำนวนประชากรรวมทั้งสิ้นคิดเป็น 62.3% ของประชากรทั้งโลก มีมูลค่า GDP ทั้งหมดสูงถึง 30% ของมูลค่า GDP โลก การบริโภคภาคครัวเรือนอยู่ที่ 24% ของปริมาณการบริโภคครัวเรือนทั่วโลก เรียกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนทั้งโลกรวมอยู่ในเส้นทางแห่งนี้ (ข้อมูลจาก chula)

ในส่วนของชื่อที่เรียกว่า เส้นทาง สายไหม มาจากการบ่งบอกนัยยะด้านประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันว่า จีนมีเส้นทางสายไหมโบราณในการเชื่อมต่อไปยังยุโรปเพื่อการค้า สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศของพวกเขาตั้งแต่ยุค 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช

เส้นทางสายไหม (One Belt One Road) ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร

แม้ชื่อของโปรเจกต์นี้จะดูดี มีความน่าสนใจ แต่เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดกลับพบว่าขั้นตอนการเจรจา หรือวิธีดำเนินการต่าง ๆ เลือกใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การกำหนดยุทธศาสตร์ทั้งหมดแล้วทุกประเทศต้องทำตาม เท่ากับว่าในการเจรจากับประเทศบนเส้นทางนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบเสียทีเดียว บวกกับในหลายประเทศยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาจึงมีเรื่องของเส้นทางการขนส่ง เรื่องความปลอดภัย กฎหมายของแต่ละประเทศ และอื่น ๆ อีกจิปาถะเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้หากคิดจะดำเนินการอย่างจริงจังคงต้องมีเรื่องของเม็ดเงินอีก คำถามคือหลายประเทศจะยอมหรือไม่ที่ตนเองอาจต้องกู้เงินแล้วนำมาเป็นส่วนหนึ่งของแม่บทการพัฒนาโปรเจกต์

หากมองในมุมบวกการเชื่อมต่อกันของหลายประเทศจะเกิดความสะดวกในด้านการเจรจาต่อรอง การขนส่งสินค้า การเพิ่มเม็ดเงินเชิงพาณิชย์ครัวเรือน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อเจาะลึกไปถึงแก่นกลับยังหาคำตอบไม่แน่ชัดว่าสรุปแล้วเส้นทาง สายไหม จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของโลกได้มากน้อยแค่ไหน หรือจีนอาจพยายามมองหาช่องทางในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็กำลังเสียเปรียบด้านการค้าอย่างหนัก

ล่าสุดในปี 2565 แนวโน้มค่าเงินหยวนดูจะแข็งตัวขึ้น และมีโอกาสแข็งกว่าดอลลาร์ แสดงให้เห็นการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างชัดเจน

Similar Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published.